ในพงศาวดารสามก๊ก มีอยู่ตอนหนึ่งจากหลายๆตอน ที่เกี่ยวกับพิธีกรรมของการใช้เวทมนต์คาถา คือ ตอนที่โจโฉยกทัพมายังเมืองกังตั๋ง เพื่อตีกองทัพของซุนกวน โดยที่ทหารของโจโฉมีความชำนาญในการรบบนพื้นราบ แต่ไม่ชำนาญการรบทางน้ำ โจโฉซึ่งมีความเชี่ยวชาญในพิชัยสงครามก็สามารถรบเอาชนะกองทัพของซุนกวนที่มีแม่ทัพชื่อจิวยี่ จิวยี่ไม่สามารถตีทัพโจโฉได้จึงวางแผนทำลายกองทัพโจโฉให้แตก โดยใช้บังทองเข้าไปแนะนำโจโฉให้เอาเรือจำนวนมากผูกติดกันเหมือนเป็นแพลำใหญ่คล้ายแผ่นดิน ทำให้กองกำลังโจโฉไม่เมาคลื่นมีความฮึกเหิม แต่หารู้ไม่ว่าจิวยี่ใช้อุบายวางเพลิงเผาแพลำใหญ่ของโจโฉ หลังจากดำเนินตามแผนแล้วจิวยี่คิดว่าคราวนี้โจโฉเสร็จแน่ ทางฝ่ายโจโฉมีกุนซือแนะนำเหมือนกันว่าการใช้เรือจำนวนมากผูกติดกันแบบนี้หากข้าศึกวางเพลิงขึ้นมาจะหนีไม่ทัน เรื่องนี้โจโฉพอรู้แต่หากลัวไม่ เนื่องจากการที่จะเผาเรือนั้นไม่ง่ายต้องกระแสลมเป็นใจด้วย ด้วยกระแสลมขณะนั้นพัดอยู่ในแนวทิศเหนือกับทิศใต้เป็นกระแสลมที่ขวางลำเรืออยู่มิได้พัดเข้าหาตัวเรือ ลมนี้เรียกว่าลมอาคแนย์หรือลมตะวันออกเป็นลมที่พัดจากชายฝั่งเข้าหาทะเล จิวยี่ซึ่งมั่นใจว่าขึ้นไปสังเกตการณ์บนหอคอย ระหว่างสังเกตการณ์นั้นคิดได้เรื่องกระแสลมจึงกระอักเลือดออกมาเป็นลมหมดสติไป
ฝ่ายแม่ทัพนายกองทั้งหลายมีความเห็นว่าจิวยี่ตรากตรำจนเกินไปจึงล้มป่วย ขงเบ้งซึ่งอยู่ในกองทัพของซุนกวนด้วยได้ขึ้นไปเยี่ยมจิวยี่และบอกกับจิวยี่ว่าการที่ล้มป่วยเพราะลมอาคเนย์ จิวยี่ได้ฟังจึงรู้ว่าขงเบ้งนี้เก่งจริงรู้ทันตนเอง และคิดว่าถ้าขงเบ้งยังมีชีวิตอยู่จะเป็นภัยแก่เมืองกังตั๋งในภายภาคหน้าจึงมีแผนการอยู่ในใจว่าต้องกำจัดขงเบ้งให้ได้ แต่ตอนนี้ต้องขอความเห็นของขงเบ้งก่อนว่าจะ
แก้ไขอย่างไร ขงเบ้งจึงได้สัญญากับจิวยี่ว่าจะนำลมอาคเนย์มาให้จิวยี่สามวันสามคืนเพียงพอหรือไม่ จิวยี่ว่าเพียงคืนเดียวก็พอแล้ว ขงเบ้งจึงขอคนจำนวนหนึ่งพร้อมเครื่องเซ่นไหว้และต้องไปทำพิธีบนเขาด้วย ห้ามบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาเพราะจะทำให้พิธีไม่สำเร็จ การที่ขงเบ้งกล่าวว่าต้องทำพิธีบนยอดเขาเพราะรู้ว่าจิวยี่ต้องนำทหารมาฆ่าตนแน่ และจะได้มองเห็นเรือที่จะมารับเพื่อการหลบหนีได้ การที่ขงเบ้งสามารถเรียกลมได้เพราะคำนวณทิศทางการเดินของกระแสลมไว้แล้ว รู้ว่ามลมอาคเนย์จะพัดมาเวลาไหนจึงกล้ารับปากจิวยี่ ขณะเดียวกันก็หาทางหนีทีไล่ไว้เรียบร้อยแล้ว
ในเรื่องพิธีกรรมในการเรียกลมของขงเบ้ง ขงเบ้งเคยกล่าวไว้ว่าการที่จะเป็นใหญ่ได้ต้องรู้ฟ้า รู้ดิน รู้คน ขงเบ้งเรียนรู้สรรพวิชาต่างๆ อาทิ ฤดูกาล ทิศทาง ดวงดาว โหวงเฮ้ง โหราศาสตร์ ชัยภูมิ และอื่นๆ
ขงเบ้งสามารถคำนวณจากสิ่งที่เรียนมาและรอบรู้สิ่งต่างๆ โดยเอาพิธีกรรมมาเป็นอุปกรณ์ในการทำนายล่วงหน้า นี่หมายความว่าความมรอบรู้ย่อมมาก่อนพิธีกรรม
ในวิชาฮวงจุ้ย ผู้เรียนต้องเรียนรู้ทั้ง ๓ เรื่อง คือ ฟ้า ดิน คน รวมทั้งเรียนรู้พิธีกรรมด้วย ในเรื่องพิธีกรรมนั้นผู้เขียนเห็นว่าเรื่องของสภาวะจิตมากกว่า เมื่อคนมีกำลังใจพลังย่อมเกิดขึ้น พลังตัวนี้คนย่อมสัมผัสได้ ส่วนเวทมนต์คาถาเป็นเพียงอุปกรณ์ที่เป็นสื่อกลางทำให้จิตมีพลัง ในตำราของฝรั่งที่อธิบายเกี่ยวกับจิตว่า ปกติคนมักใช้จิตสำนึกเพียง 7 % ส่วนจิตใต้สำนึกที่ซ่อนเร้นอยู่มีถึง 93 % เมื่อต้องการความสำเร็จในสิ่งใดให้ร้องขอจากจิตใต้สำนึก เมื่อจิตใต้สำนึกทราบความต้องการแล้วก็จะหาวิธีการจนทำให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เช่น คำว่า“ความสำเร็จ” เมื่อนึกถึงแต่ความสำเร็จจิตใจก็ประทับความสำเร็จเอาไว้และหาวิธีการเพื่อบรรลุความสำเร็จซึ่งก็คล้ายๆกับการท่องมนต์คาถา เมื่อใดที่เอาจิตใจจดจ่อกับความสำเร็จสักวันคุณต้องพบกับความสำเร็จได้
เกี่ยวกับเรื่อง “ฟ้า” ในวิชาศาสตร์ฮวงจุ้ยบอกว่า ฟ้ากำหนด ฟ้าลิขิต ไม่อาจฝืนชะตาฟ้ากำหนดได้ ขงเบ้งเข้ามาในช่วงจังหวะที่ไม่ค่อยถูกเวลาเพราะความสามารถมีมากสามารถฟื้นฟูราชวงศ์ก็ได้ เพียงแต่เจอเจ้านายที่อ่อนแอ และฟ้ากำหนดมาแล้วไม่สามารถกอบกู้ราชวงศ์ได้ เป็นเรื่องของปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ (uncontrolable Facter) ปกติในการดูทำเล ผู้รู้ท่านบอกว่าต้องดูดวงชะตาของเจ้าของทำเลก่อน ดูว่าดวงในขณะนั้นดีอยู่หรือไม่ ถ้าฟ้ากำหนดมาว่าจังหวะนี้เป็นโอกาสดี เจ้าชะตาจะได้รับโชคลาภบารมี ซินแสก็ดูด้วยความสบายใจ หากเจ้าชุตากำลังดวงตก ลงทุนอย่างไรก็ไม่ได้ ซินแสก็สามารถแนะนำได้ ขอยกตัวอย่างในเรื่องสามก๊ก โจโฉมีวาสนาที่เป็นใหญ่ได้ เดิม โจโฉมีตำแหน่งเล็กค่อยเติบโตจนเป็นผู้สำเร็จราชการได้มีหลายครั้งที่ต้องผจญความตายก็หนีพ้นมาได้ตลอด นี่คือฟ้ากำหนด
เกี่ยวกับเรื่องของ “ดิน” หมายถึง ทำเลดี ชัยภูมิดี มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ ผู้คนก็จะมีความเจริญรุ่งเรืองจากทำเลหรือชัยภูมิได้ คนอาจจะมีวาสนาปานกลางแต่รู้จักการทำมาหากินสร้างความเจริญรุ่งเรืองได้ เพราะสถานที่เอื้ออำนวย ซุนกวนซึ่งเป็นบุตรขุนนางมีฐานะปานกลางแต่ได้อยู่ในชัยภูมิที่ดีนสามารถสร้างบ้านสร้างเมืองได้ ใครจะมาโจมตีก็ยากเพราะมีทะเล แม่น้ำกั้นอยู่ วาสนาซุนกวนเป็นใหญ่ได้ด้วยสถานที่อำนวย ก๊กของซุนกวนเป็นก๊กสุดท้ายของสามก๊กที่ถูกโจมตี
เกี่ยวกับเรืองของ “คน” คนเป็นเรื่องสำคัญ งานใหญ่หรืองานเล็กจะทำสำเร็จหรือไม่ก็อยู่ที่คน เมื่อร่วมแรงร่วมใจแค่ไหนก็สำเร็จ ใครก็ตามที่สามารสร้างความสามัคคีในหมู่คณะได้ก็เป็นใหญ่ได้ ดวงชะตาวาสนาอาจเป็นตัวกำหนดได้แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์แล้ว คนก็จะไม่เข้ามาหา ไม่เข้ามาช่วย งานก็ไม่สำเร็จ อย่างกรณีของเล่าปี่ ถึงแม้ว่าวาสนาจะเกิดมาเป็นทายาทผู้เป็นใหญ่ แต่มีชีวิตที่ลำบากมาตลอด อาศัยที่เล่าปี่มีคุณธรรม ความซื่อสัตย์ของกวนอู ความกล้าหาญของเตียวหุย และสติปัญญาของขงเบ้ง สิ่งเหล่านี้หล่อหลอมเอาชนะใจผู้คนจึงสามรถเติบโตเป็นใหญ่ได้
ในสามก๊ก ขงเบ้งมีความรอบรู้เรื่องฮวงจุ้ยมาก เมืองเสฉวนเป็นชัยภูมิที่มีแต่หุบเขา เดินทางลำบาก เข้าออกได้ ๒ ทาง ทางด้านหน้าเป็นทางใหญ่เดินทางสะดวก แต่ด้านหลังเป็นทางเล็กเดินทางลำบากต้องผ่านหุบเขา คล้ายๆกับหน้าเปิดกว้างหลังอิงเขาเหมาะแก่การป้องกันชัยภูมิได้ดีมาก หากมีรั้วบ้านที่เข็มแข็งก็ถูกโจมตียาก
สรุป สามก๊ก ดูจากผู้เป็นใหญ่ทั้งสามก๊ก สุดท้ายก็ล่มสลายทั้งสามก๊กในรุ่นลูกรุ่นหลานที่อ่อนแอ ถูกรวมสามก๊กเป็นแผ่นดินเดียวกัน แม้ฟ้ากำหนดมาดี ดินอุดมสมบูรณ์ คนมีคุณธรรม ถ้ารวมทั้งสามอย่างดีเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวก็อยู่รอด
ถ้าแยกออกเป็นเดี่ยวๆก็อยู่ลำบาก
ในวิชาฮวงจุ้ย “ชื่อ” มีส่วนสำคัญทีเดียว กล่าวคือ ชื่อของสถานที่กับชื่อของบุคคล บางครั้งก็มีอิทธิพลต่อกัน ดังตัวอย่างในสามก๊ก บังทองเป็นผู้มีความรู้ความสามรถพอๆกับขงเบ้ง แต่ความใจร้อนอยากสร้างผลงานให้ปรากฏ จึงมีความปรารถนาจะทำศึกให้ได้ชัยยกกองทัพไปด้วยคววมเชื่อมั่นในตนเอง พอเดินทัพเข้าไปในเนินซอกเขา ก็เจอกองทัพของข้าศึกดักโจมตี ผลคือ บังทองเสียชีวิตอย่างน่าเสียดาย ชื่อของบังทองหมายถึง “หงส์ดรุณ” ส่วนชื่อของเนินซอกเขาชื่อว่า “หงส์ร่วง” ทำไมจึงเหมาะเจาะอย่างนี้ จะว่าเป็นเหตุบังเอิญก็ว่าได้ เนื่องจากบังทองไม่ทราบชื่อเนินเขานี้ก่อนหรือถึงเวลาต้องจากไป
http://www.horathai.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=188378&Ntype=5
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น