บทความ - สามก๊ก ฉบับ คนขายชาติ |
ขงเบ้งเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นก็แจ้งว่าเล่าปี่ยังไม่ประสงค์จะเข้านอนหากต้องการสนทนาต่อไป จึงชวนเล่าปี่ออกไปนั่งดื่มน้ำชาที่เก๋งหน้ากระท่อม สนทนาเกี่ยวกับสถานการณ์บ้านเมือง จนผ่านยามแรกและเข้าสู่ยามสอง ราตรีนั้นเป็นข้างแรม บนอากาศดวงดาวพราวพร่างกระจ่างเต็มท้องฟ้า แวววาววับวามงามตายิ่งนัก ดูประหนึ่งอยู่ใกล้คล้ายกับจะเอื้อมคว้าได้ถึง สายลมราตรีปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิโชยมาเป็นที่สบาย กลิ่นดอกไม้ป่านานาพันธุ์โชยมาตามสายลม หอมระรื่นชื่นใจ เสียงนกกลางคืนร้องก้องในแนวป่าขณะออกหากินตามประสา ขงเบ้งเห็นดาวเด่นตาพรายพร่างเต็มท้องฟ้า จึงชวนเล่าปี่ออกมาจากเก๋งหน้ากระท่อม ทอดตาขึ้นไปในอากาศแล้วชี้ให้เล่าปี่ดูไปบนท้องฟ้าข้างทิศเหนือ แล้วว่านั่นเป็นกลุ่มดาวจระเข้ เป็นดาวประจำข้างทิศอุดร เป็นกลุ่มดาวที่บ่งบอกเวลาในยามราตรี มีทั้งสิ้นสิบเอ็ดดวง สี่ดวงตรงกลางคือขาหน้าหลังทั้งสี่ จากตำแหน่งดาวที่เป็นขาหลังเบื้องล่างไปทางทิศตะวันออกมีสามดวงเป็นหางของจระเข้ ด้านหน้ามีสี่ดวงเป็นตาสองดวงและจมูกอีกสองดวง ตำแหน่งดาวที่เป็นจมูกดวงบนนั้นเป็นดาวประจำพระองค์พระมหากษัตริย์คือพระเจ้าเหี้ยนเต้ บัดนี้เศร้าหมองนัก มีเหตุแต่เบื้องบน มีดาวอีกดวงหนึ่งสีเหลืองปนแดงสว่างไสว รัศมีรุ่งโรจน์นั่นคือดาวประจำตัวของโจโฉ ข่มดาวประจำพระองค์พระเจ้าเหี้ยนเต้อยู่ ลักษณะดังนี้บ่งชี้ว่าวาสนาโจโฉยังรุ่งเรือง ประกอบด้วยกำลังเป็นอันมาก แล้วว่าพระเจ้าเหี้ยนเต้เป็นชาวราศีธาตุไฟ ธาตุไฟเป็นต้นกำเนิดธาตุดิน ตัวโจโฉเป็นชาวธาตุดิน ครองอำนาจในเมืองฮูโต๋ซึ่งเป็นปูมธาตุดินดังนี้ย่อมแสดงว่าโจโฉได้ใช้และอาศัยอิงอำนาจของฮ่องเต้ตั้งฐานอำนาจอยู่ในชัยภูมิอันสมพงษ์แก่ตัว อำนาจของโจโฉจึงปราบให้สิ้นไปได้โดยยาก ขงเบ้งชี้ไปทางท้องฟ้าเบื้องทิศใต้แล้วว่า ดาวดวงที่มีรัศมีสีฟ้าแกมแสดรุ่งเรืองสว่างไสวอยู่นั้นคือดาวประจำตัวซุนกวนซึ่งครองอำนาจเป็นใหญ่ในแคว้นกังตั๋งเป็นปูมธาตุทอง โจโฉข่มซุนกวนไม่ได้และซุนกวนก็ทำร้ายโจโฉไม่ได้ดุจกัน ขงเบ้งชี้มือไปบนท้องฟ้าข้างทิศตะวันตกแล้วว่า นั่นคือดาวประจำตัวเล่าเจี้ยงเจ้าเมืองเสฉวน อับแสงใกล้จะร่วงโรย เมืองเสฉวนตกอยู่ในปูมธาตุไม้ ตัวท่านก็เป็นชาวราศีธาตุไม้ เมืองเสฉวนจึงสมพงษ์กับท่าน ท่านจะตั้งตัวได้ที่เมืองเสฉวนนี้เฉกเดียวกับพระเจ้าฮั่นโกโจ ในครั้งกระโน้นพระเจ้าฮั่นโกโจพ่ายแพ้ศึกแก่ฌ้อปาอ๋องแล้วได้เคลื่อนกองทัพเข้าไปปักหลักเป็นฐานที่มั่นก่อตั้งอำนาจขึ้นในดินแดนเสฉวน และตั้งตัวเป็นใหญ่ได้ที่เมืองเสฉวนนี้ เล่าปี่มองตามมือของขงเบ้งไปด้วยความสนใจเป็นอย่างยิ่ง ผงกศีรษะยอมรับความอันขงเบ้งได้แสดงมาทุกประการ ขงเบ้งเห็นอาการเล่าปี่ดังนั้นแล้วจึงชี้ไปที่ดาวอีกดวงหนึ่งซึ่งอยู่ใกล้กับดาวประจำตัวของเล่าเจี้ยง มีสีฟ้าแกมเขียวสดใสแต่ยังไม่รุ่งโรจน์นัก และว่าดาวดวงนี้คือดาวประจำตัวท่าน บัดนี้แม้ยังไม่มีรัศมีอันสว่างไสวรุ่งเรืองแต่ข้าพเจ้าได้สังเกตการปรากฏของดาวดวงนี้มาชั่วเวลาหนึ่งแล้ว ประจักษ์ว่ามีรัศมีสดใสเพิ่มขึ้นโดยลำดับ แสดงว่าเมืองเสฉวนนี้จะตกเป็นของท่าน อันดาวประจำตัวเล่าเจี้ยงนั้นอับแสงลงโดยลำดับ ในขณะที่ดาวประจำตัวของท่านรุ่งเรืองสว่างขึ้นโดยลำดับเช่นเดียวกัน ข้าพเจ้าคาดการณ์ว่าวันใดที่ดาวประจำตัวเล่าเจี้ยงอ่อนแสงแรงล้าลงแล้ว ดาวประจำตัวของท่านก็จะรุ่งเรืองขึ้นแทนที่ ท่านจะตั้งหลักได้ที่เมืองนี้เป็นมั่นคง ขงเบ้งชี้ให้เล่าปี่ดูแถบสีขาวคล้ายกลุ่มเมฆที่ทอดทาบท้องฟ้าข้างทิศตะวันตก พาดผ่านมายังจุดที่ขงเบ้งและเล่าปี่ยืนอยู่แล้วว่า แถบทางสีขาวที่ทอดทาบดังนี้คือทางช้างเผือก ผันแปรเคลื่อนไปตามเวลา หาคงที่ไม่ ในยามนี้ทางช้างเผือกทอดทาบท้องฟ้าข้างเมืองเสฉวนผ่านเมืองซงหยงตรงไปยังเมืองเกงจิ๋ว นี่คือเส้นทางแห่งการก้าวสู่อำนาจของท่าน บ่งชี้ว่าท่านจะตั้งต้นอำนาจจากเมืองเกงจิ๋วก่อนแล้วเข้าสู่เมืองเสฉวนดังที่ข้าพเจ้าได้กล่าวแก่ท่านเมื่อพลบค่ำวันนี้ ขงเบ้งชี้ขึ้นไปที่ดาวดวงหนึ่งซึ่งอยู่บนท้องฟ้าเหนือศีรษะค่อนไปข้างทิศใต้แล้วว่าดาวดวงนี้เป็นดาวประจำตัวเล่าเปียวเจ้าเมืองเกงจิ๋ว สีแดงคล้ำเศร้าหมองริบหรี่ใกล้ดับสูญแล้ว สุขภาพของเล่าเปียวกำลังสุกงอมเต็มที่ใกล้ลาโลก อิทธิพลของดาวประจำตัวท่านที่ทอดกระแสผ่านทางช้างเผือกจรดอยู่ใกล้ดาวประจำตัวของเล่าเปียว บ่งบอกว่าเล่าเปียวร่วงลับลงเมื่อใด เมืองเกงจิ๋วก็จะตกได้แก่ท่านเมื่อนั้น ด้วยเหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจึงกล่าวคาดคะเนกับท่านเมื่อยามพลบว่าเมืองเกงจิ๋วและเมืองเสฉวนจะต้องตกเป็นของท่าน เล่าปี่ยืนมองท้องฟ้าด้วยอารมณ์ปลอดโปร่งโล่งใจเบิกบานเป็นพิเศษ ในขณะที่สายตาก็ทอดตามมือของขงเบ้งที่ชี้ไปยังดาวตามทิศต่าง ๆ และฟังคำวิจารณ์การในเบื้องนภากาศอย่างใจจดใจจ่อ เห็นกว้างขวางลึกซึ้งยิ่งนัก ล้วนเป็นสิ่งที่เล่าปี่ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังมาแต่กาลก่อน ล้วนเป็นเรื่องเหนือคิด เหนือคนทั้งสิ้น จิตใจเล่าปี่ในยามนี้จึงเปี่ยมด้วยความศรัทธาในภูมิปัญญาอันแจ้งฟ้าจบดินของขงเบ้ง และเชื่อมั่นว่าด้วยภูมิปัญญาความรู้ของขงเบ้งนี้นี่แล้วที่จะทำให้ปณิธานของตัวที่มุ่งมั่นกอบกู้ฟื้นฟูพระราชวงศ์ฮั่น ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข จักสำเร็จสมดังปรารถนาเป็นแน่แท้ เล่าปี่ก็มีใจยินดีปรีดาปราโมทย์หาที่ประมาณมิได้ เล่าปี่ฟังคำขงเบ้งสิ้นความแล้วจึงกล่าวขึ้นว่าภูมิปัญญาความรอบรู้ของท่านกว้างขวางลึกซึ้งเกินคน ข้าพเจ้าไม่เคยได้เห็น ไม่เคยได้ยิน ไม่เคยได้ฟังมาแต่ก่อนนี้เลย บัดนี้ประจักษ์จริงแล้วตามคำของชีซีที่ว่า ตัวท่านมีสติปัญญาอันอาจหยั่งการณ์ในแผ่นดินแลอากาศเป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว หาผู้เสมอสองมิได้ ตัวข้าพเจ้าแต่ไหนแต่ไรมาเหมือนคนตกอยู่ในที่มืด แลด้วยแสงแห่งปัญญาของท่านอันประจักษ์ ณ บัดนี้จึงเสมือนหนึ่งประทีปอันสว่างไสวทำให้จักษุของข้าพเจ้าได้แลเห็นการณ์ข้างหน้าอย่างแจ่มแจ้ง อุปมาดังท่านได้ทำของที่คว่ำอยู่ให้หงายขึ้น กล่าวสิ้นคำเล่าปี่ก็ทรุดตัวคุกเข่าลงกับพื้น คำนับขงเบ้งแล้วว่าท่านเมตตาออกไปช่วยข้าพเจ้าครั้งนี้ไม่เพียงแต่จะเป็นคุณแก่ข้าพเจ้าหาที่สุดมิได้เท่านั้น พระราชวงศ์ฮั่นจะสถาพรได้ก็ด้วยปัญญาความคิดของท่าน อาณาประชาราษฎรทั่วทั้งแผ่นดินจะได้ความร่มเย็นเป็นสุขได้ก็ด้วยความเมตตาจากน้ำใจท่านครั้งนี้แล้ว ขอท่านจงเมตตาช่วยทำนุบำรุงสั่งสอนข้าพเจ้าไปจนสำเร็จการที่ปรารถนาด้วยเถิด ขงเบ้งเห็นเล่าปี่คุกเข่าลงคำนับดังนั้นก็ตกใจ รีบทรุดตัวลงแล้วเอามือทั้งสองประคองเล่าปี่ให้ลุกขึ้น ละล่ำละลักกล่าวขึ้นว่าตัวท่านเป็นเชื้อพระวงศ์ผู้ใหญ่ ทั้งอายุก็มากกว่าข้าพเจ้า อย่าผลาญอายุข้าพเจ้าให้สั้นลงด้วยอาการฉะนี้เลย นับแต่วันเวลาที่ข้าพเจ้าตัดสินตกลงใจไปทำราชการด้วยท่าน แต่เวลานั้นท่านย่อมเป็นนาย ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงบ่าว นายจะคำนับเคารพบ่าวนั้นเป็นการไม่ชอบ ขงเบ้งค้อมศีรษะคำนับเล่าปี่แล้วนิ่งอยู่ เล่าปี่เห็นดังนั้นก็ยิ่งรักนับถือขงเบ้งเป็นอันมากแล้วว่าท่านอย่าได้กล่าวถึงบ่าวนายอีกเลย ความอันนี้เสียดแทงสะเทือนใจข้าพเจ้ายิ่ง ตัวข้าพเจ้าเป็นคนอาภัพไร้วาสนา มองเห็นทางข้างหน้ากระจ่างในบัดนี้ก็ด้วยปัญญาบารมีของท่าน อุปมาดังว่าชีวิตข้าพเจ้านี้ตัวท่านเป็นผู้ชุบให้เกิดใหม่ ชีวิตนี้จึงเสมือนหนึ่งเป็นของท่าน ชีวิตแลฐานะทั้งนี้มีมาก็เพราะปัญญาความคิดของท่าน ท่านจึงเป็นอาจารย์ผู้ใหญ่และเป็นทั้งผู้ประทานชีวิตใหม่ เป็นร่มฉัตรแลธงชัยของข้าพเจ้า ขอท่านได้เมตตาเป็นที่เคารพและที่พึ่งแห่งข้าพเจ้าสืบไปเบื้องหน้าด้วย เล่าปี่ ขงเบ้ง ต่างถ้อยร้อยนับถือกันและกันเป็นอันมาก ทั้ง ๆ ที่เพิ่งเห็นหน้ากันเพียงสามชั่วยามก็มีความสนิทสนมลึกซึ้งแน่นแฟ้นมั่นคง ราวกับว่ารู้จักกันมานานเท่าอายุของแต่ละคนฉะนั้น ขงเบ้งเห็นราตรีกาลผ่านพ้นล่วงเลยใกล้สิ้นยามสองแล้ว เกรงว่าเล่าปี่ตรากตรำลำบากมาตลอดทั้งวันจะได้ไข้เพราะความผันแปรแห่งกาลอากาศยามปลายฤดูหนาวต้นฤดูใบไม้ผลิ จึงว่าเวลานี้ดึกมากแล้ว พรุ่งนี้จะต้องเดินทางเข้าเมืองซินเอี๋ยแต่เช้าตรู่ จึงควรแก่เวลาพักผ่อน ณ บัดนี้ ว่าแล้วขงเบ้งก็ชวนเล่าปี่เดินกลับเข้าไป เล่าปี่มีอารมณ์อิ่มใจเบิกบานนัก ยังไม่ใคร่อยากจะเข้านอน แต่เกรงใจขงเบ้งที่จะต้องเตรียมตัวจัดแจงข้าวของลงจากโงลังกั๋งในวันพรุ่งจึงรับคำแล้วเดินตามขงเบ้งเข้ากระท่อมไป หลังเล่าปี่เข้าห้องนอนแล้วขงเบ้งยังคงจัดแจงหนังสือตำรับตำรา ข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวจนเสร็จสิ้นจึงเข้านอน ครั้นรุ่งขึ้นขงเบ้งจึงเรียกจูกัดกิ๋นผู้น้องเข้ามาแล้วจึงว่า “เล่าปี่มีความอุตส่าห์มาหาถึงสามครั้ง ว่ากล่าวอ้อนวอนให้ไปอยู่ทำราชการด้วยช่วยทำนุบำรุง ครั้นจะตัดประโยชน์เสียก็เอ็นดูแก่เล่าปี่ ตัวเราจำจะไปด้วยเล่าปี่ เจ้าอยู่ภายหลังจงรักษาโคกระบือไร่นาข้าวของทั้งปวงไว้ อย่าให้เป็นอันตรายเสียได้ ถ้าเราไปช่วยเล่าปี่ทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุขสำเร็จแล้วก็จะกลับคืนมาทำมาหากินด้วยกันเหมือนดังเก่า” ความอันเสมือนคำสั่งเสียของพญามังกรแห่งเทือกเขาโงลังกั๋งยามจะเลื้อยลงจากแดนมังกรซุ่มแล้วผาดโผนโจนทะยานสู่นภากาศเบื้องบน ผจญกับความสับสนวุ่นวายในแผ่นดินยามเป็นจลาจลเพียงไม่กี่คำนี้ได้สะท้อนให้เห็นถึงเบื้องลึกแห่งหัวใจของมหาบัณฑิตหนุ่มชาวป่าตำบลมังกรซุ่มได้กระจ่างแจ้ง เบื้องแรก ได้สะท้อนให้เห็นถึงการล่วงรู้ชะตากรรมที่ต้องเผชิญในกาลข้างหน้าเหมือนกับที่สุมาเต๊กโชได้แลเห็นด้วยอำนาจแห่งอาโปกสิณ แต่ก็พร้อมที่จะเผชิญกับชะตากรรมนั้นโดยไม่หวั่นไหวด้วยความพร้อมใจอย่างเต็มเปี่ยม นั่นเป็นผลอันเกิดแต่เหตุที่เล่าปี่มีศรัทธาวิริยะอุตสาหะและภักดีโดยสุจริต จึงไม่อาจตัดใจทอดทิ้งประโยชน์ของเล่าปี่แลแผ่นดินได้ จำต้องลงจากเขาออกไปช่วยทำนุบำรุงเล่าปี่ ประการที่สอง แม้จะรู้กระจ่างแจ้งในกาลภาคหน้าว่าชะตาตัวจะได้ยากถึงต้องรากโลหิต และแม้จะรู้ว่าชะตาแห่งราชวงศ์ฮั่นใกล้จะดับสูญ ทั้งเล่าปี่ก็เป็นคนอาภัพไร้วาสนา แต่ก็มั่นใจในภูมิปัญญาความคิดอันแจ้งฟ้าจบดินว่าจะสามารถผันแปรลิขิตแห่งสวรรค์ให้เล่าปี่ได้ครองบัลลังก์มังกรทองได้สำเร็จ ความอันสะท้อนประการนี้จึงชัดเจนยิ่งนักว่าตัวขงเบ้งมีความเชื่อมั่นและมีความทะนงในสติปัญญาความคิดอ่านว่าสามารถผันแปรลิขิตแห่งสวรรค์ได้ ความทะนงองอาจในลักษณะนี้ยากนักแล้วที่จะหามนุษย์อื่นเสมอเหมือน เพราะวิสัยมนุษย์นั้นไม่ว่าเลือดขัตติยะ หรือเลือดราษฎรธรรมดาสามัญ แม้จะทรนงองอาจหาญกล้าสักเพียงไหน ความทรนงองอาจกล้าหาญนั้นอย่างมากก็อยู่ในระดับที่จะต่อสู้แข่งขันกับมนุษย์ด้วยกันเอง แทบไม่มีผู้ใดที่ทะนงองอาจกล้าหาญต่อต้านวิถีลิขิตแห่งสวรรค์ ในยุคก่อนก็เห็นมีแต่จิ๋นซีฮ่องเต้พระองค์เดียวที่กล้าตรัสว่าสวรรค์ก็ต้องอยู่ในอำนาจของข้า ส่วนในยุคหลังก็เห็นมีแต่เหมาเจ๋อตงคนเดียวเท่านั้นที่กล้ากล่าวว่า “ต่อสู้กับฟ้าสบายมาก ต่อสู้กับดินสบายมาก ต่อสู้กับคนก็ยิ่งสบายมาก” ประการที่สาม ได้สะท้อนให้เห็นถึงจิตใจที่ไม่ใฝ่ติดยึดในอำนาจ และมีน้ำใจมั่นคงในวิถีแห่งเต๋าที่จะเข้าถึงซึ่งความเป็นธรรมชาติ ดังนั้นเมื่อเชื่อมั่นว่าสามารถปราบยุคเข็ญทำนุบำรุงแผ่นดินให้เป็นสุข และยามนั้นย่อมเปี่ยมด้วยอำนาจวาสนาเสมอด้วยฮ่องเต้พระองค์ใหม่ แต่ก็ไม่ติดยึดลุ่มหลงฝักใฝ่ในอำนาจวาสนานั้น จะยอมละอำนาจวาสนาทั้งหลายแล้วคืนกลับบ้านป่ามาทำไร่ไถนาร่วมกับน้องเหมือนดังเดิม จิตใจดังนี้จะมีสักกี่คนที่เสมอเหมือน เพราะวิสัยคนนั้นย่อมปรารถนาอำนาจแลวาสนายิ่งกว่าอื่นใด แลความปรารถนานั้นบางครั้งก็รุนแรงเสียยิ่งกว่าความหวงแหนชีวิตตัว เมื่อได้อำนาจวาสนาแล้วก็ติดยึดลุ่มหลงไม่คิดละวาง ทั้ง ๆ ที่บางคนมีอำนาจวาสนาแล้วไม่เพียงแต่ทำตัวไร้ค่า ไม่สามารถสร้างความสันติสุขและความอยู่ดีกินดีให้เกิดขึ้นได้ ยังทำลายชาติบ้านเมืองจนพินาศย่อยยับ ก็ไม่สำนึกรู้สึกตัว ยังคงลุ่มหลงหน้ามืดตาลาย เกาะเก้าอี้แห่งอำนาจอย่างไม่ลดละ นี่คือความคิดจิตใจและตัวตนที่แท้จริงของจูกัดเหลียง-ขงเบ้ง สมแล้วที่ชีซีได้กล่าวรับรองว่าคนผู้นี้มีความคิดความรู้สติปัญญาอันสามารถหยั่งการในแผ่นดินแลอากาศได้เป็นเอกอยู่แต่ผู้เดียว หาผู้เสมอสองมิได้ ขงเบ้งสั่งเสียจูกัดกิ๋นดังนี้แล้วจึงอำลาแดนมังกรซุ่มไปเมืองซินเอี๋ยพร้อมกับเล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย พญามังกรแห่งแดนมังกรซุ่มได้เลื้อยลงจากเทือกเขาโงลังกั๋ง โผทะยานขึ้นบนนภากาศแล้ว สถานการณ์สามก๊กจึงถือว่าได้ตั้งต้นขึ้น ณ บัดนี้.
http://www.paisalvision.com/2008-10-30-11-41-42/945--204-.html
|
วันเสาร์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2557
ตอนที่ 204. ขงเบ้งดูดาว
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น